; โรคมือ เท้า ปาก (Hand foot mouth disease) -โรงพยาบาลแมคคอร์มิค เชียงใหม่ McCormick Hospital ChiangMai

โรคมือ เท้า ปาก (Hand foot mouth disease)

การแพร่ติดต่อของโรคมือ เท้า ปาก

        การติดต่อส่วนใหญ่ เกิดจากได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ปากโดยตรง โรคแพร่ติดต่อง่ายในช่วงสัปดาห์แรกของการป่วย โดยเชื้อไวรัสอาจจะติดมากับมือ หรือของเล่นที่เปื้อนน้ำลาย น้ำมูก น้ำจากตุ่มพองและแผลหรืออุจจาระของผู้ป่วยและเกิดจากการไอ จามรดกัน โดยหายใจเอาเชื้อที่แพร่กระจายจากละอองฝอยของผู้ป่วย ในระยะที่เด็กมีอาการทุเลาหรือหายป่วยแล้วประมาณ 1 เดือน จะพบเชื้อในอุจจาระได้ แต่การติดต่อระยะนี้จะเกิดขึ้นได้น้อยกว่า

 อาการของโรคมือ เท้า ปาก

        หลังจากได้รับเชื้อ 3 – 6 วัน ผู้ติดเชื้อจะเริ่มแสดงอาการป่วย เริ่มด้วยมีไข้ อ่อนเพลีย ต่อมาอีก 1 – 2 วัน  มีอาการเจ็บปาก กลืนน้ำลายไม่ได้และไม่ยอมทานอาหาร เนื่องจากมีตุ่มแดงที่ลิ้น เหงือก และกระพุ้งแก้ม ตุ่มนี้จะกลายเป็นตุ่มพองใส บริเวณรอบๆ จะพบตุ่มหรือผื่นนูนสีแดง (มักไม่คัน) ที่ฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และอาจจะพบที่ก้นด้วย อาการจะทุเลา และหายเป็นปกติภายใน 7 – 10 วัน

การรักษาโรคมือ เท้า ปาก

        โรคนี้ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แพทย์จะให้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาทาแก้ปวด ในรายที่มีแผลที่ลิ้น หรือกระพุ้งแก้ม ควรเช็ดตัวเพื่อลดไข้เป็นระยะ และให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อนๆ รสไม่จัด อาหารเหลวและเย็น ดื่มน้ำและน้ำผลไม้ พักผ่อนมากๆ ถ้าเป็นเด็กอ่อน อาจต้องป้อนนมให้แทนการดูดจากขวด

        ตามปกติโรคมักไม่รุนแรงและไม่มีอาการแทรกซ้อนแต่เชื้อไวรัสบางชนิดเช่น เอนเทอโรไวรัส 71 อาจทำให้มีอาการรุนแรงได้ จึงควรสังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิดหากพบมีไข้สูง ซึม ไม่ยอมทานอาหาร ดื่มน้ำ อาเจียนบ่อย หอบ แขนขาอ่อนแรง ชัก อาจเกิดภาวะสมองหรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ น้ำท่วมปอด ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ต้องรีบพาไปโรงพยาบาลใกล้บ้านทันที

        โรคนี้สามารถเป็นซ้ำได้อีก เนื่องจากภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นในผู้ป่วยที่หายจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์หนึ่งๆ อาจไม่สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ ได้ แม้ว่าจะจัดอยู่ในกลุ่มย่อยของเชื้อไวรัสเดียวกัน

การป้องกันโรคมือ เท้า ปาก

         โรคนี้ยังไม่มีวัคซีน  ป้องกันได้โดยการรักษาสุขอนามัย ผู้ปกครองควรจะแนะนำบุตรหลานและผู้เลี้ยงดู ให้รักษาความสะอาด ตัดเล็บให้สั้น หมั่นล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังการขับถ่ายและก่อนรับประทานอาหาร รวมทั้งการใช้ช้อนกลาง หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด ผ้าเช็ดหน้า และผ้าเช็ดมือ เป็นต้น

 

 

การควบคุมโรคมือ เท้า ปาก

        สถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนอนุบาล ต้องจัดให้มีอ่างล้างมือและส้วมที่ถูกสุขลักษณะ หมั่นดูแลและรักษาสุขลักษณะของสถานที่และอุปกรณ์เครื่องใช้ให้สะอาดอยู่เสมอ รวมถึงการกำจัดอุจจาระเด็กให้ถูกต้องด้วย

        หากพบเด็กป่วยต้องรีบแยก เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังเด็กคนอื่นๆ ควรแนะนำผู้ปกครองให้รีบพาเด็กไปพบแพทย์และหยุดพักรักษาตัวที่บ้านประมาณ 7 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ ระหว่างนี้ไม่ควรพาเด็กไปในสถานที่แออัด เช่น สนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ และห้างสรรพสินค้า และผู้เลี้ยงเด็กต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระเด็กที่ป่วย

        หากมีเด็กป่วยจำนวนมาก อาจจำเป็นต้องปิดสถานที่ชั่วคราว 1 – 2 สัปดาห์ และทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคด้วยผงซักฟอก ผึ่งแดด กรณีล้างไม่ได้ให้เช็ดทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์

 

 

คำแนะนำการดูแลเด็กป่วยโรคมือ เท้า ปาก

     1.  แยกเด็กป่วยให้พักอยู่บ้าน หยุดเรียนจนกว่าตุ่มหรือผื่นแห้งเป็นสะเก็ดประมาณ 7 – 10 วัน
     2.  รักษาความสะอาดบริเวณผิวหนังที่มีผื่นหรือตุ่ม ห้ามผู้ป่วยเกา ตัดเล็บให้สั้น เสื้อผ้าต้องสะอาดและแห้งอยู่เสมอ
     3.  เช็คตัวและให้ยาลดไข้ ตามที่แพทย์สั่ง
     4.  ใช้ผ้าหรือกระดาษเช็ดหน้าปิดปาก จมูก ขณะไอ จาม แล้วทิ้งในถังขยะที่มีฝาปิด
     5.  ให้อาหารอ่อน ย่อยง่าย รสไม่จัด กินของเย็นได้
     6.  แยกภาชนะในการดื่มน้ำและรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
     7.  อาบน้ำด้วยสบู่อ่อน เพื่อป้องกันการระคายเคือง กรณีคัน ให้ทายาคาลาไมน์ ตามที่แพทย์สั่ง
     8.  ให้พักผ่อนอย่างเพียงพอในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก  ทำความสะอาดห้องด้วยน้ำผสมผงซักฟอก
     9.  รักษาความสะอาดของร่างกายและสิ่งแวดล้อมทุกครั้งที่ขับถ่าย โดยเฉพาะเชื้อสามารถอยู่ในอุจจาระได้นาน 2 – 3 สัปดาห์
     10.หลีกเลี่ยงการนำเด็กป่วยไปในสถานที่ชุมชนแออัด เช่น ศูนย์การค้า ตลาด
     11.ของเล่นที่เด็กอาจเอาเข้าปากได้ ให้ทำความสะอาดด้วยสบู่หรือผงซักฟอกตามปกติแล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้ง
     12.มาตรวจตามนัดหรือกรณีอาการแย่ลงให้รีบมาพบแพทย์ ได้แก่ อาการซึม แขนขาอ่อนแรง เกร็ง กระตุก ตัวเย็น อาเจียน หอบ หน้าซีด

 ข้อควรระวัง

        พี่เลี้ยงหรือผู้ดูแลเด็กควรเคร่งครัดเรื่องการล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนและหลังสัมผัสเด็ก โดยเฉพาะการสัมผัสที่อาจปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย และอุจจาระของเด็กป่วย และทำความสะอาดห้องและห้องน้ำด้วยน้ำผสมผงซักฟอก

**หลีกเลี่ยงการนำเด็กป่วยไปเล่นรวมกับเด็กอื่นๆ ทั้งขณะรอตรวจ หรือเมื่อรักษาตัวในโรงพยาบาล